เดือนตุลาคม
2551
October
2008
เมฆก๊าซต้นกำเนิดดาวฤกษ์
October 29th,
2008
Adapted from eso.org: A claret-coloured cloud with a massive heart
หอสังเกตการณ์ European Space Observatory
เผยภาพถ่ายอาณาเขตกว้างใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดดาวฤกษ์ ที่ชื่อว่า Gum
29 ภายในใจกลางของ Gum 29 คือกระจุกดาวฤกษ์ขนาดเล็ก Westerlund 2
อันเป็นบ้านของเหล่าระบบดาวฤกษ์คู่มวลมาก
ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในหมู่นักดาราศาสตร์
ภาพถ่ายโดยกล้อง
Wide Field Imager (WFI) ซึ่งติดตั้งกับกล้อง Max-Planck/ESO telescope
ภาพนี้ได้จากการถ่ายภาพผ่านแผ่นกรองแสงสามความยาวคลื่นได้แก่ น้ำเงิน(B)
เหลือง(V) แดง( R ) และ H-alpha แล้วจึงนำมาซ้อนกันเป็นภาพเดียว
แสดงเมฆก๊าซแหล่งกำเนิดดาวฤกษ์ Gum 29
ภายในใจกลางคือกระจุกดาวฤกษ์อายุน้อย Westerlund 2
จุดสว่างสีเหลืองขาวด้านล่างคือระบบดาวฤกษ์มวลมาก Credit: ESO
Gum
29 เป็นอาณาเขตที่อุดมด้วยโมเลกุลก๊าซไฮโดรเจน(hydrogen gas: H2)
ซึ่งสูญเสียอิเลคตรอนไปเนื่องจากรังสีความเข้มสูงของดาวฤกษ์อายุน้อยอุณหภูมิสูง
ซึ่งอยู่ตรงใจกลาง นักดาราศาสตร์เรียกอาณาเขตแบบนี้ว่า เขต HII-region
(อ่านว่า H-two) สำหรับ Gum29 มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลกว่า 200 ปีแสง
เลยทีเดียว เนื่องจากเทหวัตถุขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นเทหวัตถุลำดับที่ 29
ในบัญชี ที่ถูกตีพิมพ์โดยนักดาราศาสตร์ชาวออสเตรเลีย Colin Stanley Gum
เมื่อปี ค.ศ. 1955 มันจึงได้รับชื่อว่า Gum 29
กลางภาพคือระบบดาวฤกษ์คู่ ซึ่งมีมวล 82 และ 83 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ โคจรรอบกันและกันภายในเวลาเพียง 3.7 วัน Credit: ESO
กลุ่มเมฆก๊าซ
Gum 29 มีกระจุกดาวฤกษ์ขนาดเล็ก Westerlund 2
ซึ่งฝังลึกอยู่ภายในเมฆก๊าซยักษ์แห่งนี้
การสังเกตการณ์ครั้งล่าสุดบ่งชี้ว่ามันอยู่ห่างจากโลกประมาณ 26,000 ปีแสง
บริเวณขอบนอกของแขนเกลียว Carina ในกาแลกซีทางช้างเผือก(Milky Way)
นอกจากนี้ Westerlund 2 ยังมีอายุเพียง 1 ถึง 2 ล้านปี
เท่านั้นซึ่งถือว่ามีอายุน้อยมาก
ผลการสังเกตการณ์ก่อนหน้านี้แดงให้เห็นว่าดาวฤกษ์สองดวงทางด้านขวาล่างของกระจุกดาวเป็นอสูรขนาดยักษ์โดยแท้
โดยทั้งสองก่อตัวเป็นระบบดาวคู่(double system) โดยดาวฤกษ์ทั้งสองมีมวล
82 และ 83 เท่าของดวงอาทิตย์ของเรา และโคจรรอบกันและกันภายในเวลาเพียง
3.7 วัน
อันถือว่าเป็นระบบดาวคู่ที่มีมวลมากที่สุดแห่งหนึ่งเท่าที่นักดาราศาสตร์เคยค้นพบ
ตัวอย่าง
Wolf-Rayet Star WR 124 โดยกล้องโทรทรรรศน์อวกาศฮับเบิล
เปิดเผยกลุ่มก๊าซที่ถูกพ่นออกมาจากดาวฤกษ์ด้วยอัตราเร็วมากกว่า 100,000
กิโลเมตรต่อชั่วโมง Image credit: NASA/Yves Grosdidier (University of
Montreal and Observatoire de Strasbourg), Anthony Moffat (Universitie
de Montreal), Gilles Joncas (Universite Laval), Agnes Acker
(Observatoire de Strasbourg)
เมื่อศึกษาลงลึกในรายละเอียดยิ่งขึ้น
พบว่าดาวฤกษ์คู่นี้ต่างก็เป็นดาวชนิด Wolf-Rayet
หรือดาวฤกษ์มวลมากที่กำลังเข้าสู่วาระสุดท้าย
ด้วยการปลดปล่อยสสารจำนวนมหาศาลออกมา
โดยเมื่อสังเกตการณ์ในย่านรังสีเอกซ์ก็พบธารสสารที่ออกมาจากดาวฤกษ์แต่ละดวงกำลังชนกันอย่างต่อเนื่องและแผ่รังสีเอกซ์ออกมา
ภาพถ่ายข้างต้นถ่ายจากกล้อง
Wide Field Imager (WFI) ซึ่งติดตั้งกับกล้องโทรทรรศน์ Max-Planck/ESO
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.2 เมตร ณ La Silla ประเทศชีลี
ซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 2,400 เมตร ภายในทะเลทราย Atacama
ดาวฤกษ์สั่นไหว
October 24th,
2008
Adapted from
Space.com: Starquakes Seen Inside Faraway Star
นี่เป็นครั้งแรกที่นักดาราศาสตร์การสั่น(quake) ภายในดาวฤกษ์ดวงอื่นนอกจากดวงอาทิตย์ของเรา
นักดาราศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า
“starquake” หรือการสั่นไหวของดาวฤกษ์
อันเป็นการเปิดหน้าต่างใหม่สู่การทำความเข้าใจกลไกภายในของดาวฤกษ์
ก่อนหน้านี้นักดาราศาสตร์
ได้ศึกษาการสั่นที่คล้ายคลึงกันนี้ภายในดวงอาทิตย์
และพวกเขาก็พบหลักฐานบ่งชี้ว่ามีการสั่นภายในดาวนิวตรอนมวลมาก(very
massive neutron star) แต่ยังไม่เห็นการสั่นภายในตัวดาวฤกษ์อื่นๆ มาก่อน
เมื่อมองไปยังดาวฤกษ์
ดาวเทียม COROT สามารถใช้ตรวจหาดาวฤกษ์ไหว(starquake)
หรือคลื่นเสียงที่เกิดลึกลงไปภายในดาวฤกษ์และทำให้เกิดการกระเพื่อมของผิวดาว
ส่งผลต่อการแปรผันของความเข้มแสง
จำนวนระลอกคลื่นสามารถช่วยให้นักดาราศาสตร์คำนวณมวล อายุ
และแม้แต่องค์ประกอบทางเคมีของดาวฤกษ์ Credit: CNES
จากการสำรวจโดยใช้ดาวเทียม
COROT ของยุโรป และเทคนิคที่คล้ายกับการศึกษาแผ่นดินไหวบนโลก(earthquake)
นั่นก็คือการวัดการเคลื่อนที่ของคลื่นเสียง(acoustic
wave)ภายใต้ผิวดาวฤกษ์ ทำให้ผิวดาวกระเพื่อม
ส่งผลต่อการแปรผันของความเข้มแสง
ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำความเข้าใจโครงสร้างภายในของดาวฤกษ์
และเส้นทางที่พลังงานถูกถ่ายทอดออกมาจากแกนสู่ผิวดาวฤกษ์
โดยจำนวนระลอกคลื่นสามารถช่วยให้นักดาราศาสตร์คำนวณมวล อายุ
และแม้แต่องค์ประกอบทางเคมีของดาวฤกษ์
ภาพถ่ายจากดาวเทียม
SOHO นักดาราศาสตร์พบการลุกจ้า(solar flare) เมื่อ 9 กรกฎาคม 1996
ที่ทำให้เกิดคลื่นแผ่นดินไหว(seismic waves) ภายในดวงอาทิตย์
นักวิจัยพบว่าการสั่นบนผิวดวงอาทิตย์บรรจุพลังงานไว้ประมาณ 40,000
เท่าของพลังงานในแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ทำลายนครซานฟรานซิสโก เมื่อปี
2449 หรือเท่ากับปริมาณพลังงานที่ Credit: ESA/NASA SOHO
Malcolm
Fridlund นักวิจัยจากสำนักงานบริการอวกาศยุโรป(European Space Agency)
กล่าวว่า “เทคนิคอื่นๆ
ใช้ประมาณการสั่นของดาวฤกษ์เคยถูกใช้กับการสำรวจภาคพื้นดิน
แต่เทคนิควิธีเหล่านั้นก็มีข้อจำกัดในตัวเอง”
ดาวฤกษ์ที่พวกเขาศึกษาโดยดาวเทียม COROT คือ HD499933, HD181420 และ
HD181906 ซึ่งล้วนเป็นดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์
ขณะที่งานวิจัยยังไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ได้ทั้งหมด
นักวิจัยจึงยังคงมีความกระตือรือร้นในสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ในขณะนี้
ดาวเทียม
COROT ของสำนักงานบริการอวกาศยุโรป(ESA)
ถูกออกแบบมาเพื่อค้นหาดาวเคราะห์หินที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกเล็กน้อย
โดยการวัดแสง
หาแสงสว่างของดาวฤกษ์ที่ลดลงอันเนื่องมาจากดาวเคราะห์โคจรมาบังด้านหน้า
Credit: CNES/D Ducros
Fridlund
กล่าวว่า “ความจริงที่ว่า COROT
บรรลุผลในการสำรวจภายในของดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์ด้วยการวัดโดยตรง
ถือเป็นก้าวกระโดดใหญ่ในการทำความเข้าใจดาวฤกษ์โดยทั่วไป” “นอกจากนี้
นี่จะเป็นการช่วยเราในการทำความเข้าใจดวงอาทิตย์ของเราได้ดียิ่งขึ้น
โดยการเปรียบเทียบ” รายงานการวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature ฉบับวันที่
24 ตุลาคม ศกนี้ The
พายุหมุนที่ขั้วดาวเสาร์
October 15th,
2008
Adapted from
Space.com: Giant Cyclones Seen on Saturn
ด้วยยานอวกาศคาสสินี(Cassini)
นักวิทยาศาสตร์พบพายุหมุนเขตร้อนขนาดยักษ์ที่บริเวณขั้วเหนือของดาวเสาร์(Saturn)
และพบพายุลักษณะเดียวกันที่บริเวณขั้วใต้ของดาวเคราะห์เจ้าแห่งแหวน
ซึ่งขยายใหญ่ขึ้นจนใหญ่กว่าเดิมนับ 10 เท่า
ภาพถ่ายจากกล้องถ่ายภาพรังสีอินฟราเรด(infrared)
เปิดเผยภาพพายุยักษ์ที่กำลังหมุนวนอยู่เหนือขั้วเหนือและใต้ของดาวเสาร์
พายุหมุนบริเวณขั้วเหนือ(ซ้าย)
และใต้(ขวา) ของดาวเสาร์ เมื่อมิถุนายน 2551
จากยานอวกาศคาสสินีที่กำลังโคจรสำรวจระบบดาวเสาร์และดวงจันทร์บริวาร
Credit: NASA/JPL/University of Arizona
Kevin
Baines นักวิทยาศาสตร์ประจำแผนกแผนที่สเปคโตรมิเตอร์ย่านแสง
ที่ตามนุษย์มองเห็นและอินฟราเรด (visual and infrared mapping
spectrometer) จากห้องปฏิบัติการณ์เครื่องยนต์ไอพ่น(Jet Propulsion
Laboratory) ใน Pasadena มลรัฐคาลิฟอร์เนีย(California)
ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า “นี่เป็นพายุหมุนขนาดใหญ่จริงๆ
มันรุนแรงกว่าพายุเฮอริเคนขนาดใหญ่บนโลกนั้นหลายร้อยเท่า”
“เมฆคิวมูลัส(cumulus) ที่ก่อตัวขึ้นถูกพาหมุนไปรอบๆ ขั้ว
ปกคลุมพายุฟ้าคะนองขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องล่าง
พายุฟ้าคะนองดูเหมือนจะเป็นแหล่งพลังงานสำคัญสำหรับระบบสภาพอากาศขนาดยักษ์ของดาวเคราะห์ก๊าซ”
นักวิจัยคิดว่าพายุได้รับพลังงานจากการปลดปล่อยความร้อนจากน้ำที่ควบแน่นแล้วคายความร้อนออกมา
ภายในพายุฟ้าคะนองที่อยู่ในชั้นบรรยากาศเบื้องล่าง
คล้ายกับน้ำที่ควบแน่นภายในกระแสลมหมุนของพายุหมุนเขตร้อนบนโลก
ข้อแตกต่างจากพายุหมุนบนโลก
ซึ่งมีกำเนิดมาจากความร้อนและพลังงานของมหาสมุทร
ก็คือพายุหมุนของดาวเสาร์ไม่มีน้ำเป็นฐานกำลัง
อีกทั้งพายุยังถูกตรึงไว้ที่ขั้วดาวเสาร์
ที่ซึ่งพายุเฮอริเคนภาคพื้นดินลอยเลื่อนข้ามมหาสมุทร
ภาพถ่ายจากย่านอินฟราเรดแสดงขั้วใต้ของดาวเสาร์ที่มีลมหมุนคล้ายพายุหมนุบนดลก
อยู่ตรงใจกลาง Credit: NASA/JPL/University of Arizona
ยานอวกาศคาสสินีถ่ายภาพทำแผนที่ขั้วเหนือของดาวเสาร์ในย่านรังสีอินฟราเรด
เส้นสายในภาพละเอียดถึงระดับ 120 กิโลเมตร
ส่วนพายุหมุนที่ขั้วเหนือหมุนด้วยอัตราเร็ว 325 กิโลเมตร ต่อวินาที
ซึ่งเร็วกว่าความเร็วลมที่เร็วที่สุดซึ่งวัดจากพายุหมุนเขตร้อนบนโลกถึงสองเท่า
รอบๆ
พายุหมุนคือโครงสร้างเมฆที่ปรากฎเส้นสายรูปหกเหลี่ยมคล้ายรังผึ้ง(honeycomb)และไม่ได้เคลื่อนตัวไปไหน
ในขณะที่เมฆที่อยู่ภายในถูกลากให้หมุนไปรอบๆใจกลางพายุด้วยความเร็วสูง
ที่น่าแปลกก็คือ
ไม่ว่าเมฆความเร็วสูงภายในหกเหลี่ยมหรือพายุก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเส้นสายรูปหกเหลี่ยมนั้นเลย
ภาพถ่ายแสดงสันฐานของลมหมุนที่ขั้วใต้ของดาวเสาร์
สีขาวในภาพคือเมฆ ที่วนรอบตามแนวการหมุนของพายุ credit: NASA/JPL/Space
Science Institute
พายุในขั้นใต้ของดาวเสาร์เคยถูกพบมาก่อน
แต่ไม่ได้ถูกศึกษาลงลึกถึงรายละเอียดมากนัก
ภาพถ่ายที่ถ่ายไว้ก่อนหน้านี้เผยให้เห็น
วงแหวนส่วนนอกของเมฆในระดับสูงรอบๆ
พื้นที่หนึ่งซึ่งเคยคิดว่าเป็นเขตที่อากาศปลอดปล่อยแทรกแซมด้วยปุยเมฆจำนวนน้อยๆ
หมุนวนอยู่รอบๆ
แต่ภาพถ่ายใหม่แสดงให้เป็นว่าแท้จริงแล้วเมฆถูกลมพาไปตามแนวการหมุนของพายุ
ซึ่งทำให้เกิดเมฆที่เป็นวงในด้วย
Tony Del Genio
จากสถาบันกอดดาร์ดเพื่อการศึกษาอวกาศ(Goddard Institute for Space
Studies) ขององค์การบริหารการบินและอวกาศหรือ NASA ในกรุงนิวยอรค์
สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสมาชิกแผนกภาพถ่ายของยานคาสสินี กล่าวว่า
“สิ่งที่มองเห็นคล้ายปุยเมฆภายในภาพถ่ายความละเอียดต่ำ
กลายเป็นโครงสร้างเมฆที่ถูกพัดพาที่อยู่ลึกลงไปในกลุ่มหมอกในชั้นบรรยากาศ”
“หนึ่งในนั้นถูกผลักขึ้นให้ลอยสูงขึ้นและเกิดเป็นลมหมุนขนาดเล็กด้วยตัวมันเอง
วงแหวนส่วนนอกของเมฆชั้นสูงรอบๆ
ลมหมุนมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4,000 กิโลเมตร
และจากเงาที่พาดทับลงไปเหนือเมฆภายในวงแหวนชั้นในสามารถประมาณความสูงเหนือเมฆในวงแหวนชั้นในได้ประมาณ
40 ถึง 70 กิโลเมตร วงแหวนชั้นในมีขนาดเล็กกว่าวงแหวนหลักครึ่งหนึ่ง
โดยเฉพาะบริเวณตาพายุก็มีขนาดเล็กกว่าที่พบในภาพถ่ายความละเอียดต่ำ
ระบบสุริยะกำเนิดจากซูเปอร์โนวา
October 4th,
2008
Adapted
from
Space.com: Our Solar System Born in "Little Bang'
ระบบสุริยะอาจถือกำเนิดขึ้นเนื่องจากการกระตุ้นโดยซูเปอร์โนวาหรือการระเบิดของดาวฤกษ์ที่สิ้นอายุขัย
คลื่นกระแทกจากการระเบิดจะกระตุ้นให้เมฆก๊าซและฝุ่นความหนาแน่นสูง
อัดตัวกันแน่นยิ่งขึ้นจากความดันของคลื่น
ภาพตัดขวางของเมฆก๊าซมวลเท่าดวงอาทิตย์
กำลังถูกชนโดยหน้าคลื่นกระแทกที่กำลังเคลื่อนที่จากด้านบน
ความเข้มของสีแดงในภาพแสดงความหนาแน่นของเมฆในแต่ละพื้นที่
เส้นสีดำแสดงขอบเขตความหนาแน่นของสสารเกิดจากไอโซโทปอายุสั้นที่ถูกหน้าคลื่นซูเปอร์โนวาพาเข้าไปชนกลุ่มเมฆ
Credit: Alan Boss
Alan
Boss นักทฤษฎีจากสถาบันคาร์เนกี(Carnegie Institution) อธิบายว่า
“เรามีหลักฐานทางเคมีจากดาวหางที่ชี้ว่าซูเปอร์โนวากระตุ้นการกำเนิดของระบบสุริยะ(solar
system) ตั้งแต่เมื่อทศวรรษที่ 8 ของศตวรรษก่อน”
“แต่ปิศาจยังคงซ่อนอยู่ในรายละเอียด แม้กระทั่งทุกวันนี้
นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถหามุมมองที่เกี่ยวข้องสอดคล้อง
ซึ่งบ่งบอกว่าการยุบตัวของก๊าซถูกกระตุ้น อย่างเช่นไอโซโทป(isotope)
ของธาตุใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงเดียวกับซูเปอร์โนวาแล้วถูกพ่นออกมาเข้าสู่กลุ่มเมฆที่กำลังยุบตัว”
เขตผลึกโลหะภายใน
CH chondrite ซึ่งถูกพบในอุกกาบาต PAT 91546 ณ
ทวีปแอนตาร์คติกาหรือขั้วโลกใต้
ภาพถ่ายแสงสะท้อนบริเวณสีขาวคือจุดที่มีโลหะ เหล็ก-นิกเกิล
ส่วนสีดำคือแร่ซิลิเกต credit: Meibom, et al., 1999
ไอโซโทปกัมมันตรังสีอายุสั้น(Short-lived
radioactive isotopes)
เป็นรูปแบบอื่นของนิวเคลียสธาตุที่มีเลขโปรตอนเดียวกัน
แต่จำนวนนิวตรอน(neutron) ต่างกัน
ซึ่งมักพบในหินอุกกาบาตเก่าแก่อายุนับล้านปี
ไอโซโทปเหล่านี้จะสลายตัวเป็นธาตุรุ่นต่อไปเรียกว่า daughter element
การค้นพบ daughter element
ภายในอุกกาบาตดึกดำบรรพ์แสดงให้เห็นว่าไอโซโทปกัมมันตรังสีรุ่นพ่อแม่จะต้องถูกสร้างขึ้นไม่กี่ล้านปีหรือมากกว่านั้นก่อนที่อุกกาบาตจะถูกค้นพบ
หนึ่งในไอโซโทปรุ่นพ่อแม่
อย่างเหล็ก-60 (iron-60)
ถูกพบมากอย่างมีนัยสำคัญภายในดาวฤกษ์มวลมากที่วิวัฒนาการมานานพอ
เหล็ก-60 หรือไอโซโปเหล็กที่มีจำนวนนิวตรอนกับโปรตอนรวมกันได้
60
จะสลายตัวเป็น นิกเกิล-60
ซึ่งถูกพบในอุกกาบาตดึกดำบรรพ์
ดังนั้นเรารู้ว่าที่ใดและเมื่อใด
ที่ไอโซโทปรุ่นแรกถูกสร้างขึ้น
แต่ไม่รู้ว่ามันมาอยู่ที่นั่นได้อย่างไร
เมื่อวันที่
9 มกราคม 2551 ที่ผ่านมา ยานอวกาศสวิฟต์(Swift)
ได้ถ่ายภาพการประทุในย่านรังสีเอกซ์จากดาวฤกษ์ที่กำลังระเบิด
หรือซูเปอร์โนวา SN2008D
ซึ่งอีกไม่กี่วันต่อมาก็ซูเปอร์โนวาแห่งนี้ก็เปล่งแสงในย่านที่ตามมนุษย์มองเห็น
Credit: NASA/Swift Science Team/Stefan Immler
สมมติฐานเดิมของ
Boss
แสดงให้เห็นว่าไอโซโทปสามารถสะสมตัวเข้าไปในเมฆก๊าซต้นกำเนิดดวงอาทิตย์
ถ้าคลื่นกระแทกจากการระเบิดซูเปอร์โนวาช้าลงจนถึงระดับ 9.6 ถึง
40.2
กิโลเมตรต่อวินาที คลื่นและเมฆจะมีอุณหภูมิคงที่ประมาณ 10
เคลวิน
สมมติฐานนี้จะใช้ไม่ได้ถ้าสสารถูกทำให้ร้อนขึ้นโดยการบีบอัดและเย็นตัวลงโดยการแผ่รังสี
และยังคงหลงเหลือคำถามเกี่ยวกับเวลาที่คลื่นกระแทกจากซูเปอร์โนวาเริ่มส่งผลต่อกระบวนการนี้ว่าเริ่มตั้งแต่
สี่พันล้านปีก่อนหรือไม่
หลังจากการจำลองเหตุการณ์ด้วยการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยคำนวณหลายต่อหลายครั้ง
หน้าคลื่นกระแทกได้กระทบเมฆสสารต้นกำเนิดดวงอาทิตย์ ซึ่งประกอบด้วยฝุ่น
น้ำ คาร์บอนมอนอกไซด์(carbonmonoxide) และโมเลกุลไฮโดรเจน
ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นถึง 1,000 เคลวิน
และหากไม่มีการเย็นตัวลงกลุ่มก๊าซก็จะไม่สามารถยุบตัวได้เพราะแรงดันอันเนื่องมาจากความร้อนยังต้านทานแรงโน้มถ่วง
อย่างไรก็ตาม
ด้วยสมมติฐานกฎของการเย็นตัว
นักวิจัยพบว่ากลุ่มเมฆต้นกำเนิดดวงอาทิตย์จะหน้าแน่นขึ้น 1,000 เท่า
ภายในเวลา 100,000 ปี
และเพราะความร้อนจากคลื่นกระแทกจะหายไปอย่างรวดเร็วนี่เอง
ที่ทำให้เกิดชั้นบางๆ ที่มีอุณหภูมิ 1000 เคลวิน
หลังจากเวลาผ่านไป
160,000 ปี บริเวณใจกลางของเมฆก๊าซจะยุบตัวจนหนาแน่นกว่าเดิม 1,000,000
เท่า ก่อเกิดดวงอาทิตย์ขั้นต้น(protosun)
ภายในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับซูเปอร์โนวา
งานวิจัยอื่นๆ
บ่งชี้ว่าดวงอาทิตย์ของเราอาจเกิดในสภาพแวดล้อมอันจอแจ
ใกล้กับดาวฤกษ์มวลมาก
แต่ภายหลังได้ลอยเลื่อนออกมายังบริเวณอื่นในอวกาศอย่างโดดเดี่ยว
แต่นี่เป็นสมมติฐานที่บอกว่าครั้งหนึ่งซูเปอร์โนวากระตุ้นการกำเนิดระบบสุริยะและแสดงให้เห็นว่าแนวคิดนี้ใช้ได้จริง
Boss จะตีพิมพ์งานวิจัยนี้ลงในวารสาร Astrophysical Journal ฉบับวันที่ 20
ตุลาคมศกนี้