เดือนกุมภาพันธ์
2552
February
2009
ลมดาวฤกษ์รุนแรงที่เนบิวลา Carina
Febuary 20th, 2009
Adapted From eso.org : Strong Winds over the Keel, Carina Nebula shown in colourful detail
ฝนภาพถ่ายชุดล่าสุดจากหอสังเกตการณ์ท้องฟ้าซีกใต้ยุโรป(European
Southern Observatory) เผยรายละเอียดอันน่าอัศจรรย์
ของเนบิวลาที่ใหญ่และสว่างที่สุดในท้องฟ้า เนบิวลา Carina (NGC 3372)
ที่ซึ่งมีลมดาวฤกษ์หรือกระแสอนุภาคมีประจุ และการแผ่รังสีจากดาวฤกษ์มวลมาก
จำนวนมหาศาลภายในบริเวณดังกล่าว
สร้างความหายนะให้กับเมฆฝุ่นและก๊าซขนาดใหญ่ ที่ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดดาวฤกษ์
ภาพถ่ายเนบิวลา Carina เปิดเผยรายละเอียดของดาวฤกษ์และฝุ่น Credit: ESO
ภาพถ่ายดังกล่าวแสดงส่วนหนึ่งของท้องฟ้าที่ถูกระบายเป็นปื้นด้วยกระจุกดาวฤกษ์อายุน้อย
เนบิวลาขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยฝุ่นและก๊าซ
ฝุ่นอวกาศที่เกาะกลุ่มจนดูเหมือนเสาในอวกาศ
กลุ่มสสารระหว่างดาวรูปร่างทรงกลมเล็กๆ
และระบบดาวคู่ที่น่าประทับใจที่สุดในเอกภพ
ภาพถ่ายนี้เกิดจากการถ่ายภาพผ่านแผ่นกรองแสงทั้งหกชนิดของกล้อง Wide Field
Imager(WFI) ซึ่งติดตั้งกับกล้องโทรทรรศน์ ESO/MPG
ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกระจกปฐมภูมิถึง 2.2 เมตร
กล้องโทรทรรศน์ตัวนี้ติดตั้งอยู่ที่หอสังเกตการณ์ La Silla ประเทศชิลี
เนบิวลา
Carina อยู่ห่างจากโลกประมาณ 7500 ปีแสง ภายในกลุ่มดาว
Carina(กระดูกงูเรือ) มันเป็นกลุ่มก๊าซแผ่กระจายกินพื้นที่กว้างประมาณ
100 ปีแสง คิดเป็นสี่เท่าของเนบิวลา Orion
อันเป็นที่รู้จักมากเนบิวลาหนึ่ง อีกทั้งยังสว่างกว่าเนบิวลา carina มาก
เนบิวลา
Carina เป็นบริเวณที่มีอัตราการเกิดดาวฤกษ์รุ่นใหม่สูงแห่งหนึ่ง
ด้วยฝุ่นอุณหภูมิต่ำที่เกาะกลุ่มเป็นแนวแบ่งก๊าซเรืองแสงภายในเนบิวลาซึ่งหุ้มห่อกระจุกดาวฤกษ์เอาไว้
แสดงส่วนประกอบของเนบิวลา Carina credit:HST ACS/WFC
แสงเรืองของเนบิวลา
Carina มาจากก๊าซไฮโดรเจนร้อนที่ถูกรังสีจากดาวฤกษ์มวลมากที่พึ่งเกิดใหม่
อันตรกิริยาระหว่างก๊าซไฮโดรเจนและแสงอัลตราไวโอเลตทำให้เกิดแสงสีแดงและม่วง
ภายในกลุ่มม่านเมฆนี้บรรจุดาวฤกษ์หลายสิบดวงที่มีมวลอย่างน้อย 50 ถึง 100
เท่า ของมวลดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์เช่นว่านั้นมีช่วงชีวิตที่ค่อนข้างสั้น
เพียงแค่ไม่กี่ล้านปีเท่านั้น
เมื่อเปรียบเทียบกับดวงอาทิตย์ที่มีอายุประมาณ 10,000 ล้านปี
หนึ่งในดาวฤกษ์ที่น่าสนใจที่สุดในเอกภพคือ
Eta Carinae ซึ่งถูกพบในเนบิวลานี้
มันเป็นหนึ่งในดาวฤกษ์มวลมากดวงหนึ่งในกาแลกซีทางช้างเผือก(Milky Way)
มีมวลเกินกว่า 100 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ และมีความสว่างกว่าถึง 4,000,000
เท่า ทำให้มันเป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดเท่าที่มนุษย์รู้จัก Eta
Carinae มีความไม่เสถียรค่อนข้างมาก
และมีแนวโน้มที่จะระเบิดออกอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูเปอร์โนวาเทียมที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2385
เป็นเวลาเพียงไม่กี่ปี Eta Carinae
กลายเป็นดาวฤกษ์ที่สว่างเป็นอันดับสองภายในท้องฟ้ายามราตรี
และให้แสงสว่างราวกับซูเปอร์โนวา(supernova)
ที่เป็นการระเบิดครั้งสุดท้ายของดาวฤกษ์ซึ่งสิ้นอายุขัย
ทว่าหลังจากการระเบิดครั้งนั้น Eta Carinae ยังคงรอดชีวิตอยู่
เนบิวลา Carina และดาวฤกษ์ Eta Carina ณ ใจกลาง
Credit: W. Blair, JHU. : Loke Kun Tan (StarryScapes). HST image, J Morse and NASA.
นักวิทยาศาสตร์คาดว่า
Eta Carinae อาจมีดาวอีกดวงหนึ่งเป็นคู่หู ที่โคจรรอบกันและกันเป็นวงรี
และใช้เวลาโคจรครบรอบภายในเวลา 5.54 ปี ดาวทั้งสองมีลมดาวฤกษ์ที่รุนแรง
เมื่อกระแสอนุภาคจากดาวฤกษ์ทั้งสองปะทะกัน ทำให้เกิดปรากฎการณ์ที่น่าสนใจ
โดยเมื่อช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ระบบดาวคู่ Eta carinae
สมาชิกทั้งสองจะเข้าใกล้กันมากที่สุด
ซึ่งการปะทะกันของลมดาวฤกษ์ก็จะรุนแรงยิ่งขึ้น
นับเป็นโอกาสอันดีที่นักดาราศาสตร์จะได้ใช้อุปกรณ์ของกล้องโทรทรรศน์ของ
ESO เพื่อศึกษาโครงสร้างของลมดาวฤกษ์ดังกล่าว
ไททันกับฝนมีเทน
Febuary 12th,
2009
Adapted From space.com : On
Titan: It's Raining Methane
มันมีฝนมีเทนเหลว(liquid
methane) บนดวงจันทร์ไททัน(Titan)
ซึ่งสืบเนื่องมาจากภาพถ่ายที่บ่งบอกความเป็นไปได้ที่จะมีทะเลสาบในบริเวณใกล้ขั้วใต้ของดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบดาวเสาร์(Saturn)
ด้วยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5,150 กิโลเมตร
ไททันมีขนาดใหญ่กว่าดาวพุธ(Mercury) และคิดเป็นร้อยละ 40
ของเส้นผ่านศูนย์กลางโลก
เปรียบเทียบชั้นบรรยากาศของโลกกับดวงจันทร์ไททันที่ระดับความสูงจากพื้นดินต่างๆ
Credit: NASA/JPL
มันเป็นดวงจันทร์เพียงดวงเดียวในระบบสุริยะที่มีชั้นบรรยากาศหนาแน่นคล้ายดาวเคราะห์
โดยมีความหนาแน่นเป็น 10 เท่าของชั้นบรรยากาศโลก)
ร่องรอยที่น่าจะเป็นทะเลสาบแห่งใหม่ปรากฏขึ้นในภาพถ่ายจากยานอวกาศคาสสินี(Cassini)เมื่อปี
2548 โดยระบบถ่ายภาพ Imaging Science Subsystem (ISS)
ซึ่งภาพถ่ายในบริเวณเดียวกันเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้น
กลับไม่ปรากฏจุดดำดังกล่าว
นักวิทยาศาสตร์คิดว่าคำอธิบายที่ดีที่สุดของจุดดำที่ปรากฏขึ้นมาทันทีทันใดก็คือ
“ฝนมีเทน” ที่ตกลงมาเติมลงไปในทะเลสาบ
ข้อสรุปข้างต้นตีพิมพ์รายละเอียดลงในวารสาร Geophysical Research Letters
ฉบับวันที่ 29 มกราคม ที่ผ่านมา
ซึ่งยืนยันแนวคิดของนักวิทยาศาสตร์หลายคน
ผู้คาดว่ามีทะเลสาบมีเทนบนดวงจันทร์ไททัน เช่นเดียวกับฝนมีเทน
ผลการวิเคราะห์ครั้งใหม่โดย Elizabeth Turtle(และคณะ)
ผู้ประสานงานแผนกถ่ายภาพโครงการคาสสินี ณ
ห้องทดลองฟิสิกส์ประยุกต์(Applied Physics Lab) ของมหาวิทยาลัยจอห์น
ฮอปกินส์(Johns Hopkins University) ในเมือง Laurel มลรัฐแมรีแลนด์
สหรัฐอเมริกา
ให้หลักฐานสำหรับเชื่อมโยงฝนมีเทนกับทะเลสาบที่ปรากฏตัวอย่างฉับพลันบนผิวไททัน
ภาพถ่าย
Ontariou Lacus บนดวงจันทร์ไททัน(ภาพขวา) จากระยะห่าง 1,100 กิโลเมตร
แสดงบริเวณที่เป็นชายหาด(ล่างขวา)
ใต้แนวเส้นอ่างเก็บของเหลว ภาพซ้ายเป็นภาพทะเลสาบเมื่อมิถุนายน 2548
Credit: Right Image - NASA/JPL/University of Arizona; Left image -
NASA/JPL/Space Science Institute.
คณะทำงานของ Turtle บันทึกแหล่งกำเนิดที่เป็นไปได้สำหรับ
“ฝน”
โดยใช้กล้องโทรทรรศน์ Keck
ตรวจพบกลุ่มเมฆขนาดใหญ่เหนือขั้วใต้ของไททันเมื่อเดือนตุลาคม 2547
ภาพถ่ายของคาสสินีเองก็แสดงระบบเมฆเหนือบริเวณขั้วใต้ระหว่างนั้นเช่นกัน
พวกเขาพบว่าเมฆที่แปรเปลี่ยนเป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมง ราวกับเมฆที่ถูกพัดพา
เช่นเดียวกับเมฆในช่วงพายุฝนฟ้าคะนองบนโลก Turtle
เสริมว่าปื้นสีดำบนพื้นที่เห็นอาจเป็นมีเทนที่มาจากกลุ่มเมฆ
ที่เห็นเมื่อเดือนตุลาคม 2547
นอกจากบริเวณขั้วใต้แล้ว คณะทำงานของ Turtle
ยังศึกษาภาพถ่ายบริเวณขั้วเหนือของไททันเมื่อปี 2551
เปรียบเทียบกับขั้วใต้กับขั้วเหนือก็ยิ่งช่วยยืนยันว่ามีแหล่งกักเก็บมีเทนเหลวในบริเวณซีกเหนือซึ่งใหญ่กว่าบริเวณซีกใต้
ภาพถ่ายจากยานคาสสินีแสดงบริเวณขั้วใต้ของไททัน
พื้นที่สีดำที่ไม่เคยปรากฏ(วงกลม)และมีเมฆ(สีขาว) เมื่อปี 2547
แต่กลับมีปื้นสีดำขึ้นในปี 2548 พร้อมทั้งการหายไปของเมฆ
แสดงว่ามีฝนมีเทนจากเมฆตกลงไปจนกลายเป็นทะเลสาบเบื้องล่าง
Credit: NASA/JPL/Space Science Institute.
โดยแหล่งเก็บมีเทนเหลวในขั้วเหนือจะใหญ่ขึ้นในช่วงฤดูร้อนของซีกเหนือ
และพายุกลั่นเมฆให้เป็นไฮโดรคาร์บอนเหลว(liquid hydrocarbons)
ในพื้นที่ดังกล่าว ทะเลสาบทางซีกเหนือมีพื้นที่ถึง 510,000
ตารางกิโลเมตร
ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 40 ของทะเลแคสเปียน(Caspian Sea) บนโลก
คำถามหนึ่งก็คือ
ทะเลสาบบนไททันจะเติมก๊าซไฮโดรคาร์บอนในชั้นบรรยากาศไททันหรือไม่
เนื่องจากปฏิกิริยาเคมีในชั้นบรรยากาศไททันทำลายก๊าซไฮโดรคาร์บอนตามเวลาที่เปลี่ยนไป
แม้ว่าจะมีมีเทนเติมเต็มแหล่งเก็บดังกล่าว
แต่ก็ยังไม่พอที่จะรักษาสภาพชั้นบรรยากาศของไททันให้เป็นอย่างทุกวันนี้
ไว้ได้นานกว่า 10 ล้านปี เมื่อรวมกับผลการวิเคราะห์ครั้งก่อน
อาจเป็นไปได้ว่ามีแหล่งเก็บมีเทนเหลวอยู่ใต้ผิวไททัน
งบประมาณของโครงการคาสสินีจะสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2553
ทว่านักวิทยาศาสตร์คิดว่ายานอวกาศลำนี้สามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลที่ทรงคุณค่า
และถ่ายภาพได้อีกเป็นเวลาหลายปี
เดือนหน้าคณะทำงานประจำโครงการนี้คาดว่าจะส่งข้อเสนองานวิจัยต่อสำนักงานใหญ่ของ
NASA เพื่อขยายเวลาปฏิบัติภารกิจออกไปอีก 7 ปี รวมทั้งของบประมาณเพิ่มด้วย
----------------------------------------------------------
ยานอวกาศ Stardust
ครบรอบ 10 ปี
Febuary 12th,
2009
Adapted From space.com : Stardust
Spacecraft Turns 10
7 กุมภาพันธ์ 2552
เป็นวันฉลองครบรอบวันส่งยานอวกาศ Stardust
ขององค์การบริหารการบินและอวกาศหรือ NASA ขึ้นสู่อวกาศ ครบรอบ 10
ปี
ในขณะที่ยานอวกาศลำนี้อยู่ห่างจากโลกมากกว่า 13.5 ล้านกิโลเมตร
นับแต่วันส่งขึ้นสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2542 ยาน
Stardust
เดินทางเป็นระยะ 4.8 พันล้านกิโลเมตร ในช่วง 7
ปีแรกก่อนที่จะส่งตัวอย่างสสารจากดาวหางมายังโลก
แสดงอนุภาคที่พุ่งเข้าชนกับกรอบอลูมิเนียมที่รองรับแผ่น
aerogel เศษชิ้นส่วนจากการชนพุ่งเข้าไปยังแผ่น aerogel
แผ่นถัดไปทำให้เกิดรูปแบบของการระเบิดจากชิ้นส่วนวัสดุที่ดักเก็บได้จากอวกาศหรือดาวหาง
Credit: NASA/JPL
อุปกรณ์ดักเก็บสะสมซึ่งประกอบด้วยแผง
aerogel เรียงกันคล้ายแรกเกตเทนนิส
มีหน้าที่ดักจับอนุภาคที่พุ่งผ่านเข้ามาด้วยอัตราเร็ว 6
เท่าของกระสุนปืนไรเฟิล ขณะที่ยานอวกาศอยู่ห่างจากดาวหาง Wild 2
เมื่อเดือนมกราคม 2547 แล้วส่งตัวแคปซูลดักจับกลับมายังโลก
โดยแคปซูลดังกล่าวได้กลับลงสู่ผิวโลกเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2549
ในมลรัฐยูทาห์(Utah) สหรัฐอเมริกา
ภาพถ่ายแสดงฝุ่นจากดาวหางที่เก็บโดยยานอวกาศ
Stardust อนุภาคที่ประกอบขึ้นจากแร่ซิลิเกตจำพวก forsterite
ซึ่งพบได้บนโลก ในอัญมณีที่ชื่อ peridot Credit: NASA/JPL
ภายในแคปซูลบรรจุอนุภาคจากดาวหางและจากอวกาศระหว่างดาวฤกษ์
อันเป็นภารกิจนำวัสดุในอวกาศนอกดาวเคราะห์ซึ่งถัดออกไปจากวงโคจรดาวอังคาร(Mars)
กลับมายังโลกได้สำเร็จเป็นโครงการแรก
ปัจจุบันแคปซูลลูกนี้ตั้งแสดงอยู่ที่ห้องจัดแสดงหลักไมล์แห่งการบิน(Milestones
of Flight Gallery) ของพิพิธภัณฑ์อากาศและอวกาศแห่งชาติ
ในกรุงวอชิงตัน
ดีซี สหรัฐอเมริกา
ด้วยความสมบูรณ์ของปฏิบัติการณ์ขั้นแรก NASA
จึงร่างปฏิบัติการณ์ใหม่ต่อจาก Stardust
เรียกว่าโครงการStardust-NExT
ซึ่งย่อมาจาก Stardust New Exploration of Tempel
โครงการ
Stardust-NExT
เป็นภารกิจต้นทุนต่ำที่เป็นส่วนขยายต่อมาจากโครงการศึกษาดาวหาง Tempel 1
ซึ่งเริ่มต้นไว้ก่อนแล้วโดยยานอวกาศ Deep Impact
แคปซูลเก็บตัวอย่างฝุ่นจากอวกาศกำลังเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก
Credit: NASA/Ames Research Center
ปฏิบัติการณ์ส่วนต่อขยายมีงานให้ยานอวกาศ
Stardust บินผ่านดาวหาง Tempel 1 ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554
ในช่วงที่บินผ่านนี้ มันจะถ่ายภาพส่วนโคมา(Coma) หรือบรรยากาศรอบๆ
นิวเคลียส(nucleus) ของดาวหาง รวมทั้งตัวนิวเคลียสเองด้วย พร้อมๆ
ไปกับการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมี
การกระจายตัวและกระแสของฝุ่นที่ถูกพ่นออกมาจากนิวเคลียสกลายเป็นโคมา
ผู้วางแผนภารกิจนี้หวังว่า Stardust-NExT
จะให้ข้อมูลใหม่ที่สำคัญในการอธิบายวิวัฒนาการของดาวหางในวงศ์พฤหัสบดี(Jupiter-family
comet) และการถือกำเนิดของพวกมันเมื่อ 4,600 ล้านปีก่อน
----------------------------------------------------------
หลุมดำใจกลางกาแลกซี
Centaurus A
Febuary 6th,
2009
Adapted
From eso.org : Black hole outflows from
Centaurus A detected with APEX
นักดาราศาสตร์เผยภาพใจกลางกาแลกซีกัมมันต์(active
galaxy) Centaurus A หรือ NGC 5128
ขณะที่ลำก๊าซความเร็วสูง(jet)
กับพวยก๊าซ ถูกยิงออกมาจากหลุมดำใจกลางกาแลกซี
แผ่รังสีในช่วงความยาวคลื่นไม่เกินกว่า 1 มิลลิเมตร
เป็นครั้งแรก
ข้อมูลใหม่ล่าสุดจากกล้องโทรทรรศน์
Atacama Pathfinder Experiment (APEX) ในประเทศชิลี
ซึ่งควบคุมการทำงานโดยหอสังเกตการณ์ซีกฟ้าใต้แห่งยุโรป(European Southern
Observatory : ESO)
เมื่อนำมารวมกับข้อมูลในช่วงคลื่นรังสีที่ตามนุษย์มองเห็น(visible)และรังสีเอกซ์(x-ray)
ก็จะได้มุมมองใหม่
ภาพ
Centaurus A แสดงพวยก๊าซและลำมวลสารจากใจกลางกาแลกซี
ภาพนี้เกิดจากการนำภาพในช่วงสามความยาวคลื่นได้แก่ The 870-micron
submillimetre(สีส้ม) , X-ray จากกล้อง Chandra X-ray Observatory
(น้ำเงิน) และแสงในย่านที่ตามนุษย์มองเห็น Credit: ESO/WFI (Optical);
MPIfR/ESO/APEX/A.Weiss et al. (Submillimetre); NASA/CXC/CfA/R.Kraft et
al. (X-ray)
Centaurus
A เป็นกาแลกซีขนาดใหญ่ที่ใกล้กับกาแลกซีทางช้างเผือก ด้วยระยะห่างประมาณ
13 ล้านปีแสง ไปทางทิศทางกลุ่มดาว Centaurus
ซึ่งเป็นกลุ่มดาวทางซีกฟ้าใต้ กาแลกซี
Centaurus A
เป็นกาแลกซีทรงรี(elliptical galaxy)
ซึ่งกำลังรวมเข้ากับกาแลกซีแขนเกลียว(spiral galaxy)
ทำให้มีย่านที่เกิดดาวฤกษ์รุ่นใหม่ก่อตัวขึ้น
Centaurus
A มีใจกลางกาแลกซีที่สุกสว่าง
และเต็มไปด้วยปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่แผ่รังสีออกมาอยู่เนืองๆ
อันเนื่องมาจากหลุมดำมวลยวดยิ่ง(supermassive black hole)
และเป็นแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์และคลื่นวิทยุความเข้มสูง
Centaurus
A ในย่านความยาวคลื่นต่างๆ Credit: X-ray (NASA/CXC/M. Karovska
et al.);
Radio 21-cm image (NRAO/VLA/Schiminovich, et al.),
Radio continuum
image (NRAO/VLA/J.Condon et al.); Optical (Digitized Sky Survey, U.K.
Schmidt Image/ STScI)
ในภาพ
เราจะเห็นวงแหวนฝุ่นล้อมรอบกาแลกซียักษ์
รวมทั้งลำคลื่นวิทยุความเร็วสูงจากใจกลางกาแลกซี
อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีหลุมดำมวลยวดยิ่งที่ใจกลางกาแลกซี Centaurus
A
ในภาพแสงความยาวคลื่นต่ำกว่า 1 มิลลิเมตร
เราจะไม่เห็นเพียงแค่การเรืองแสงเนื่องจากความร้อนของใจวงแหวนฝุ่นที่ใจกลาง
แต่ยังเห็นการแผ่รังสีจากแหล่งกำเนิดคลื่นวิทยุในช่วงความยาวคลื่นต่ำกว่า
1 มิลลิเมตรเป็นครั้งแรกด้วย
โดยภายในพวยก๊าซทางเหนือและใต้ของระนาบกาแลกซีก็มีคลื่นวิทยุชนิดนี้ออกมาเช่นกัน
การแผ่คลื่นวิทยุความยาวคลื่นต่ำกว่า
1 มิลลิเมตร เกิดขึ้นเมื่ออิเลคตรอน(electron) พลังงานสูง(ความเร็วสูง)
โคจรเป็นเกลียวรอบเส้นสนามแม่เหล็ก
ซึ่งทำให้เห็นเป็นวัสดุภายในลำมวลสารที่เคลื่อนที่ออกมาด้วยอัตราเร็วครึ่งหนึ่งของอัตราเร็วแสงในสุญญากาศ
ในย่านรังสีเอกซ์
เราพบลำก๊าซจากใจกลาง Centaurus A และ ทางด้านมุมล่างขวาของกาแลกซี
พบแสงเรืองอันเนื่องมาจากพวยก๊าซที่ถูกพ่นออกมาพุ่งเข้าชนกับก๊าซที่อยู่ในอวกาศโดยรอบ
ก่อให้เกิดคลื่นกระแทก(shockwave)
กล้องโทรทรรศน์วิทยุ
The Atacama Pathfinder Experiment (APEX) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12
เมตร
ณ ทะเลทรายอาตากามา ประเทศชิลี. Credit: ESO
กล้อง
Large APEX Bolometer Camera (LABOCA) ถูกสร้างขึ้นโดยสถาบันมักซ์-พลังค์
เพื่อดาราศาสตร์วิทยุ(MPIfR) และติดตั้งกับกล้อง APEX
ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 เมตร
ที่ถูกติดตั้งบนที่ราบสูงจากระดับน้ำทะเล 5,000 เมตร ใน Chajnantor
ทะเลทราย Atacama ประเทศชิลี APEX
เป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง MPIfR
หอสังเกตการณ์ Onsala Space Observatory และ ESO
เรียบเรียงโดย : วัชราวุฒิ หน่อแก้ว
ภาควิชาฟิสิกส์
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
----------------------------------------------------------