เดือนธันวาคม
2551
December
2008
กิ่งก้านระยิบระยับของดาวฤกษ์
December 26th,
2008
Adapted from : eso.org: A Sparkling Spray of Stars
์
Adapted from eso.org: A Sparkling Spray of Stars
ฤดูกาลแห่งความเริงรื่นมาถึงแล้วสำหรับนักดาราศาสตร์
ณ หอสังเกตการณ์ซีกฟ้าใต้ยุโรป (European Southern Observatory :ESO)
ในแบบของภาพถ่าย ภาพนี้แสดงก๊าซที่กำลังหมุนวนรอบๆ NGC 2264
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 ล้านปีแสง
ซึ่งเป็นบริเวณหนึ่งที่มีดาวฤกษ์สีน้ำเงินสุกสว่างราวกับดาวประดับบนต้นคริสตมาส
กลุ่มดาวม้าเขาเดียว(Monoceros)
อยู่ข้างๆ กลุ่มดาวนายพราน(Orion) source:
http://www.rasc.ca/news/The_Sky_This_Month_March_2008.shtml
เนบิวลา
NGC 2264 อยู่ห่างจากโลก 2,600 ปีแสง ภายในกลุ่มดาวม้าเขาเดียว
(Monoceros) หรือยูนิคอร์น(Unicorn)
โดยคล้ายกับเนบิวลาลักษณะเดียวกันเนบิวลาดาบนายพรานที่กลุ่มดาวนายพราน(Orion)
เนบิวลาแห่งนี้ถูกค้นพบโดย William Herchel
ขณะที่เขาทำการสำรวจท้องฟ้าเมื่อราวปลายศตวรรษที่ 18
และในค่ำคืนของเดือนมกราคม 2327
และส่วนที่สว่างที่สุดของกลุ่มก๊าซในย่านแสงที่ตามนุษย์มองเห็นก็ถูกพบในช่วงคริสต์มาสในอีกสองปีต่อมา
กระจุกดาวภายในเนบิวลามีความสว่างมากและสามารถมองเห็นได้ง่ายๆ
ผ่านกล้องสองตา(binocular) เมื่อมองผ่านกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็ก
(ดาวฤกษ์หลายๆ ดวงเรียงตัวกันจนคล้ายแสงไฟวิบวับจากต้นคริสต์มาส
ดาวฤกษ์ซึ่งสว่างที่สุดซึ่งอยู่บนยอดต้นคริสต์มาสจะสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มันคือระบบพหุดาวฤกษ์มวลมากที่เกิดจากกลุ่มก๊าซและฝุ่นเมื่อไม่กี่ล้านปีก่อน
เนบิวลา NGC 2264 ถ่ายจากย่านความถี่ B, V, R และ H-alpha ภาพนี้กินอาณาในอวกาศถึง 30 ปีแสง Credit: ESO
เช่นเดียวกับกระจุกดาวอื่นๆ
กระจุกดาวแห่งนี้มีโครงสร้างที่แปลกตาและน่าสนใจภายในกลุ่มก๊าซและฝุ่น
ที่ด้านล่างของภาพ โครงสร้างคล้ายสามเหลี่ยมมืดดำ คือ เนบิวลากรวย(Cone
Nebula)
อาณาบริเวณที่โมเลกุลก๊าซท่วมทับแสงที่เปล่งออกมาจากดาวฤกษ์ของกระจุกดาวนี้
ส่วนทางด้านขวาของดาวที่สว่างที่สุดของภาพ
สายใยก๊าซมองดูคล้ายขนสัตว์ได้รับชื่อเรียกว่า “เนบิวลาขนจิ้งจอก”(Fox Fur
Nebula)
เกือบทั้งหมดของภาพปรากฏด้วยสีแดง
เนื่องจากเมฆก๊าซขนาดใหญ่นี้เรือแสงภายใต้
รังสีอัลตราไวโอเลต(ultra-violet)
ที่มาจากดาวฤกษ์อายุน้อยที่อุณหภูมิสูงและพลุ่งพล่าน
โดยตัวดาวฤกษ์เองนั้นจะมีสีน้ำเงิน
เพราะมันมีอุณหภูมิสูงกว่าและมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเรา
แสงสีน้ำเงินบางส่วนถูกกระเจิงออกด้วยฝุ่น
อย่างที่เราสามารถเห็นได้ในส่วนบนของภาพ
NGC 2264 ในย่านรังสีอินฟราเรด source: http://www.ipac.caltech.edu/2mass/gallery/ngc2264irs1atlas.jpg
อาณาบริเวณที่พลุกพล่านไปด้วยกิจกรรมของดาวฤกษ์นี้
ถือเป็นห้องแลบในอุดมคติสำหรับการศึกษากลไกการก่อตัวของดาวฤกษ์
ภาพถ่ายที่นำมาแสดงนี้เป็นเพียงองคาพยพเล็กน้อยของเมฆก๊าซขนาดมหึมา
ที่กำลังอยู่ในกระบวนการก่อตัวของดาวฤกษ์รุ่นต่อไป
นอกจากเทหวัตถุอันน่าตื่นตาตื่นใจภายในภาพแล้ว แท้จริงยังมีเทหวัตถุอื่นๆ
ซ่อนอยู่เบื้องหลังม่านเมฆก๊าซเหล่านี้
ภายในบริเวณปลายกรวยของเนบิวลากรวย
กับดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดในภาพ
เป็นที่อยู่ของดาวฤกษ์ทารกที่กำลังถือกำเนิด
ซึ่งมีหลักฐานจากลมดาวฤกษ์(stellar
wind)ที่รุนแรงซึ่งออกมาจากดาวฤกษ์รุ่นใหม่ที่ถูกบดบังอยู่เบื้องหลัง
ภาพถ่าย
NGC 2264 รวมทั้งกระจุกดาวต้นคริสต์มาส ถ่ายจากกล้อง Wide Field Imager
(WFI) ซึ่งติดตั้งกับกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.2 เมตร
Max-Planck Society/ESO ณ หอสังเกตการณ์ La Silla ประเทศ Chile
ม่านพลาสมาห่มคลุมโลก
December 22nd,
2008
Adapted from :
space.com : New Cloak of Plasma Found Around Earth
Sciencedaily.com : Discovery Of Warm Plasma Cloak Surrounding Earth, New Region of Magnetosphere
การวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียมห้าดวงที่โคจรอยู่รอบโลกโดยละเอียด
พบการมีอยู่ของเมฆพลาสมากลุ่มใหม่ที่ล้อมรอบโลกอยู่
เมฆพลาสมาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลแม่เหล็ก(magnetosphere)
อันเป็นโล่สนามแม่เหล็กและอนุภาคมีประจุที่โคจรปกป้องโลกจากลมสุริยะ(solar
wind)
แสงเหนือ(aurora borealis) หรือแสงใต้(aurora australis)
เป็นปรากฏการณ์ในมณฑลสนามแม่เหล็กที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่ก็เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดชั่วครั้งชั่วคราว ภายในสภาพอวกาศรอบๆโลก
ผลกระทบจากพายุสุริยะต่อกิจกรรมบนโลกและนอกโลก image credit: L.J.Lanzerotti, Bell Laboratories, Lucent Technologies, Inc.
Charles Rick
Chappell
ศาสตราจารย์วิจัยแห่งฟิสิกส์และผู้อำนวยการของหอสังเกตการณ์ดายเออร์(Dyer
Observatory) ณ มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์(Vanderbilt University)
อธิบายว่า “แม้ว่าจะมองไม่เห็น
แต่มณฑลสนามแม่เหล็กก็มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเรา”
“ตัวอย่างเช่น พายุสุริยะ(solar storm)
ที่ปะทะกับมณฑลสนามแม่เหล็กโลกสามารถเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าส่วนเกินในโครงข่ายส่งกระแสไฟฟ้าทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าดับ
รบกวนการแพร่สัญญาณวิทยุ รบกวนสัญญาณดาวเทียมระบุพิกัด(GPS)
อนุภาคมีประจุภายในมณฑลสนามแม่เหล็กยังสามารถสร้างความเสียหายให้กับวงจรอิเลคทรอนิกส์ในดาวเทียม
และส่งผลต่ออุณหภูมิกับการเคลื่อนที่ของชั้นบรรยากาศส่วนบนของโลก
แสดงส่วนต่างๆ ของ magnetosphere ของโลก credit:NASA
Chappell
และคณะศึกษา “วัฏจักรการเพิ่มพลังงาน” ที่เร่งให้ไอออน(ion)
พลังงานต่ำซึ่งกำเนิดภายในชั้นบรรยากาศโลกมีพลังงานสูงขึ้นภายในบริเวณต่างของมณฑลสนามแม่เหล็ก
ทำให้มีอาณาบริเวณใหม่ๆ ให้สนใจ
โดยใช้ผลการวัดสมบัติของไอออนภายในบริเวณต่างๆ ของมณฑลสนามแม่เหล็ก
พลาสมาบางๆ
ภายในสนามแม่เหล็กโลกเริ่มจากด้านกลางคืนแล้วห่มคลุมด้านกลางวัน
แต่จะจางหายไปในด้านที่เป็นช่วงบ่าย นั่นหมายความว่ามันปกคลุมโลกแค่ 3 ใน
4 ส่วน
พลาสมาเหล่านี้มาจากอนุภาคมีประจุพลังงานต่ำที่ถูกยกขึ้นสู่อวกาศบริเวณขั้วโลก
แล้วถูกพาไปด้านหลังในส่วนของ magnetic tail
แต่แล้วก็ถูกกระชากกลับกลับทิศทาง 180
องศาโดยส่วนโค้งของเส้นสนามแม่เหล็กทำให้อนุภาคโคจรกลับเข้าหาโลกเข้าสู่บริเวณ
plasma sheet
ภาพแสดงมณฑลสนามแม่เหล็กในบริเวณต่างๆ ลูกศรสีขาวแสดงเส้นทางของไอออนพลังงานต่ำโดยลมสุริยะ(solar wind) Credit: Rick Chappell
ส่วนสำคัญในการวิเคราะห์ของคณะนักวิจัยกลุ่มนี้คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาให้สามารถศึกษาการเคลื่อนที่ของไอออนในสนามแม่เหล็กโลก
เมื่อคณะทำงานใช้โปรแกรมนี้เพื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลจากการสังเกตการณ์ก็พบโครงสร้างที่ชัดเจนเป็นครั้งแรก
สามารถคาดการณ์ได้ว่าไอออนสามารถเคลื่อนที่ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ionosphere
เพื่อก่อรูปเป็นหมอกพลาสมาได้อย่างไร
ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะกำลังจะถูกกลืน
December 11th,
2008
Adapted from : space.com : Planet Found Orbiting Puffed-Up Star
ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะดวงหนึ่งถูกพบว่ากำลังโคจรรอบดาวฤกษ์ที่กำลังสิ้นอายุขัยและอยู่ในระยะดาวยักษ์แดง(red
giant) โดยดาวเคราะห์ดวงนี้มีมวล 6 เท่าของดาวพฤหัสบดี
และโคจรรอบดาวยักษ์แดง HD 102271 ที่อยู่ห่างจากโลก 1,200 ปีแสง
ภายในกลุ่มดาวสิงโต(Leo) นี่มิใช่เรื่องใหม่
เมื่อปัจจุบันมีดาวยักษ์แดงประมาณ 20 ดวง
ที่ถูกพบว่ามีดาวเคราะห์เป็นบริวาร
ภาพจำลองแสดงดาวยักษ์แดงที่กำลังกลืนดาวเคราะห์คล้ายดาวพฤหัสบดี ดาวยักษ์แดง HD 102272 Credit: NASA
นักวิจัยคาดว่าพิภพอื่นๆ
ที่กำลังโคจรอยู่ในระบบดาว HD 102271 ด้วย หากเป็นจริงตามคาด
นี่จะเป็นระบบดาวยักษ์แดงดวงแรกที่มีดาวเคราะห์มากกว่าหนึ่งดวง
ดาวเคราะห์ขนาดกลางและเล็กอย่างดวงอาทิตย์ของเราจะกลายเป็นดาวยักษ์แดงเมื่อเชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่ใช้ในการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันเปล่งรังสีอออกมาและต้านการยุบตัวอันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วงของตัวดวงอาทิตย์เองนั้น
เริ่มร่อยหรอจนไม่เพียง
แกนกลางของดาวจะยุบตัวลงและเริ่มใช้นิวเคลียสของธาตุฮีเลียมแทน
ในขณะที่เปลือกนอกจะขยายตัวออกไปจนใหญ่กว่าเดิมมากกว่า 100 เท่า
เมื่อดวงอาทิตย์พองตัวจนถึงขั้นนั้น โลกและดาวเคราะห์อื่นๆ จะถูกระเหยไป
ดาวเคราะห์ดวงใหม่นี้อยู่ใกล้กับดาวฤกษ์มากกว่าดาวเคราะห์ในระบบดาวที่มีดาวยักษ์แดงดวงอื่นๆ
(เท่าที่เคยค้นพบ) โดยโคจรอยู่ห่างจากดาวฤกษ์ประมาณ 0.6
หน่วยดาราศาสตร์(Astronomical Unites:AU
หรือระยะทางเฉลี่ยจากโลกถึงดวงอาทิตย์)
นักวิจัยอธิบายว่าระยะนี้อาจเป็นขีดจำกัดที่ดาวเคราะห์จะอยู่ใกล้ดาวยักษ์แดงมากที่สุด
ชะตากรรมของดวงอาทิตย์
ปัจจุบันดวงอาทิตย์กำเนิดมาแล้วประมาณ 4,500 ล้านปี ภายในอีก 5,000
ล้านปี ก็จะเริ่มพองตัวกลายเป็นดาวยักษ์แดง
source: http://wpcontent.answers.com/wikipedia/commons/thumb/e/ea/Sun_Life.png/600px-Sun_Life.png
Alexander
Wolszczan นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์จาก มหาวิทยาลัยรัฐเพนน์(Penn State
University) กล่าวว่า “เมื่อดาวยักษ์แดงขยายตัว
พวกมันจะกลืนกินดาวเคราะห์ใกล้เคียง”
“ดูเหมือนว่าจะมีเขตที่ปลดจากดาวฤกษ์ที่ประมาณ 0.6 หน่วยดาราศาสตร์
คณะนักวิจัยตรวจพบดาวเคราะห์ด้วยกล้องโทรทรรศน์
Hobby-Eberly ณ หอสังเกตการณ์ McDonald ในมลรัฐเทกซัส
ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยกลวิธีวัดอัตราเร็วเชิงรัศมี
ซึ่งเกี่ยวพันกับการส่าย(wobble)
ของดาวฤกษ์อันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์
ดาวฤกษ์
HD 102272 ปัจจุบันมีขนาดเป็น 10 เท่าของดวงอาทิตย์
แต่มันจะขยายตัวได้อีกเป็น 100 เท่า ของดวงอาทิตย์
นับแต่ดาวฤกษ์ดวงนี้พึ่งเป็นดาวยักษ์แดง
ดวงจันทร์ยูโรปาของดาวพฤหัสบดีซึ่งผิวดาวเป็นแผ่นน้ำแข็ง
Credit: Galileo Project, JPL, NASA; reprocessed by Ted Stryk
“ดาวเคราะห์จะพบว่าตัวเองไม่ได้โคจรในสุญญากาศอีกแต่ไป
แต่อยู่ในก๊าซที่กำลังลากดาวเคราะห์” Wolszczan อธิบาย
“ดังนั้นพลังงานที่ใช้ในการโคจรจะสูญเสียให้กับสภาพแวดล้อมของดาวฤกษ์ที่มีความเสียดทาน
และดาวเคราะห์ก็จะเริ่มเกลียวตกเข้าไปในศูนย์กลางดาวฤกษ์
ขณะที่ดาวยักษ์แดงระเหยดาวฤกษ์ที่ใกล้ที่สุด
มันก็จะให้ความร้อนกับพิภพที่อยู่ไกลภายในระบบดาวเดียวกัน
ทำให้ดาวเคราะห์เหล่านั้นเหมาะสมสำหรับการกำเนิดและอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต
สิ่งนี้สามารถเกิดได้ภายในระบบสุริยะของเรา
เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระยะดาวยักษ์แดงภายในประมาณ 5
พันล้านปีข้างหน้า โลกอาจจะถูกทำลาย แต่ที่พิภพไกลโพ้น
และเย็นยะเยือกในปัจจุบัน อย่างเช่นดวงจันทร์น้ำแข็ง Europa
ของดาวพฤหัสบดี
ซึ่งจะรอดและบางทีมันอาจจะถูกอาบด้วยแสงอาทิตย์ขณะที่ดวงอาทิตย์พองตัว
Wolszczan คาดว่าดวงจันทร์ยูโรปา จะเป็นพิภพมหาสมุทราที่สุดวิเศษ
ภารกิจจากนาซาค้นหาชีวิตบนดวงจันทร์ยูโรปาี
December 10th,
2008
Adapted from : space.com : NASA Mission Could find Life of Europa
มีมหาสมุทรอยู่เบื้องใต้เปลือกน้ำแข็งของดวงจันทร์ยูโรปา(Europa)บริวารดาวพฤหัสบดี(Jupiter)
ที่นั่นอาจมีสิ่งมีชิวิตแปลกๆ
ที่สามารถว่ายน้ำบนดวงจันทร์เย็นยะเยือกแห่งนั้น
แต่ก็ยังไม่มีปฏิบัติการณ์ใดที่ส่งมนุษย์อวกาศหรืออวกาศยานไร้คนขับไปพิสูจน์ความเป็นไปได้ข้อนี้
มุมมองที่ใกล้ยูโรปามากที่สุด
คือภาพถ่ายจากยานอวกาศกาลิเลโอ(Galileo)
ซึ่งเดินทางไปโคจรสำรวจระบบดาวพฤหัสบดี ในช่วงปี 2538 ถึง 2546
ขณะนี้คณะนักวิจัยกำลังพัฒนาแผนการสำรวจดวงจันทร์ดวงนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ลึกและดียิ่งขึ้น
และนี่คือแผนการพัฒนา Europa-Jupiter System Mission (EJSM)
ยานอวกาศที่จะถูกส่งไปสำรวจดวงจันทร์ยูโรปา
และดวงจันทร์กานีมีด(Ganymede) ดวงจันทร์ขนาดใหญ่ของดาวพฤหัสบดี
ที่มีมหาสมุทรเป็นน้ำในสถานะของเหลวซ่อนอยู่เบื้องใต้แผ่นเปลือกน้ำแข็ง
ภาพสีธรรมชาติของดวงจันทร์ยูโรปา Credit: NASA
EJSM
เป็นภารกิจร่วมขององค์การบริหารการบินและอวกาศ(NASA) ประเทศสหรัฐอเมริกา
กับองค์การอวกาศยุโรป(European Space Agency) โดย ESA
จะสร้างยานอวกาศที่มุ่งสำรวจดวงจันทร์กานีมีด Jupiter Ganymede Orbiter
(JGO) ส่วน NASA จะตรงดิ่งไปสำรวจดวงจันทร์ยูโรปา Jupiter Europa Orbiter
(JEO)
ด้วยการประสานงานยานอวกาศทั้งสองลำจะนำไปสู่การศึกษาที่มีข้อจำกัดของดวงจันทร์ขนาดใหญ่อย่าง
ไอโอ(Io) และ คาลิสโต(Callisto) เช่นเดียวกับดาวพฤหัสบดี
ดวงจันทร์น้ำแข็งยูโรปาโผล่พ้นขอบเมฆชั้นบนของดาวพฤหัสบดี
ภาพนี้ถ่ายโดยยานอวกาศ New Horizones เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว
Credit: NASA/Johns Hopkins University Applied Physics
Laboratory/Southwest Research Institute
Brad
Dalton จากศูนย์ปฏิบัติการณ์เครื่องยนต์ขับดันด้วยไอพ่น
ผู้กำลังช่วยร่างข้อเสนอโครงการ EJSM
กล่าวว่าอุปกรณ์บางส่วนของยานอวกาศลำใหม่นี้จะบรรทุกกล้องถ่ายภาพ
สเปคโตรมิเตอร์ และระบบเรดาร์กำลังสูง
ที่สามารถทะลุผ่านแผ่นน้ำแข็งของดวงจันทร์ยูโรปา
และวัดได้ด้วยว่าแผ่นน้ำแข็งหนาเท่าใด
ยานอวกาศที่จะไปโคจรรอบดวงจันทร์กานีมีดก็จะได้รับการติดตั้ง
กล้องถ่ายภาพ สเปคโตรมิเตอร์ เครื่องวิเคราะห์ฝุ่น(dust analyser)
เครื่องวิเคราะห์มวล(mass spectrometer) และ
แมกนิโตรมิเตอร์(magnetometer)สำหรับวัดสนามแม่เหล็ก
เพื่อใช้ศึกษาองค์ประกอบของผิวดวงจันทร์และสภาพแวดล้อมในอวกาศโดยรอบ
“ยานอวกาศที่โคจรรอบ Ganymede จะสนใจกระบวนการทางธรณีฟิสิกส์มากกว่า
โดยเฉพาะจากภายในจนถึงเขตสนามแม่เหล็ก(magnetosphere)” Dalton กล่าว
“ส่วนการออกแบบยานอวกาศที่โคจรรอบดวงจันทร์ยูโรปาถูกผลักดันบางส่วนด้วยนัยสำคัญทางชีวดาราวิทยาของมหาสมุทรบนยูโรปา
ดังนั้นมันจะมุ่งไปสู่หลักฐานทางตรงสำหรับมหาสมุทรและแรงไทดัล(Tidal
force)ที่ทำให้น้ำคงสภาพเป็นของเหลว”
บริเวณที่ชื่อ
Uruk Sulcus บนดวงจันทร์กานีมีด โดยยานอวกาศกาลิเลโอ
ภาพขวาคือดวงจันทร์กานีมีดทั้งดวงโดยกล้องจากยานอวกาศ Voyager เมื่อปี
2522 Credit:JPL/NASA
นักวิทยาศาสตร์มีความฝันที่จะส่งยานสำรวจที่ลงจอดบนผิวหรือแม้แต่ยานสำรวจใต้น้ำเพื่อลงไปศึกษามหาสมุทรของยูโรปา
แต่ทว่าวิสัยทัศน์ในปัจจุบันของโครงการนี้ไม่ได้รวมอุปกรณ์ลักษณะนั้นเอาไว้ด้วย
“เราพยายามอย่างหนัก ภายในงบประมาณและมวลรวมอันจำกัด
เพื่อให้ได้ยานร่อนสำรวจภาคพื้นที่สมจริง” Dalton เล่า “ความจริงก็คือ
สำหรับงบประมาณและมวลที่จำกัด
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะรวมอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่จำเป็นเพื่อทำให้มันคุ้มค่า
บางส่วนของปัญหาคือการทำความเข้าใจแค่เฉพาะผิวดาวที่ดีพอ
ก็จำกัดการออกแบบในส่วนอื่นๆ อีก เมื่อคุณไปถึงที่นั่น
แน่นอนคุณกำลังต้องการขุดลงไป
และนั่นก็อยู่นอกเหนือความเป็นจริงทางงบประมาณ”
Dalton เล่าว่า
พวกเขาพิจารณาการส่งยานสำรวจที่จะตกลงบนแผนน้ำแข็งด้วยความเร็วสูง
อย่างเช่นยานพุ่งชนที่สามารถให้ข้อมูลอันมหาศาลเกี่ยวกับองค์ประกอบของน้ำแข็ง
คล้ายกับตัวยานพุ่งชน ในโครงการ Deep Impact ที่พุ่งเข้าชนดาวหาง
โดยตัวของยานอวกาศโคจรรอบดวงจันทร์เอง ในบั้นปลายก็อาจใช้เป็น “ตัวพุ่งชน”
ได้ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการปลุกฝันร้ายให้กับประเด็นการปกป้องดาวเคราะห์
“หลังจากการอภิปรายและเกาหัวกันอย่างหนัก
มันแน่ชัดว่าเราจำเป็นที่จะต้องดูก่อนที่จะก้าวกระโดด” Dalton สรุป
“มีหลายสิ่งที่เราสามารถทำได้ในขณะที่ยานโคจรไปรอบๆ ดวงจันทร์
ซึ่งจำเป็นที่ต้องทำให้เสร็จก่อนที่เราสามารถส่งยานร่อนลงสำรวจ
อย่างที่หลายคนต้องการ” อย่างไรก็ดี
แนวคิดเรื่องยานร่อนลงสำรวจภาคพื้นดินยังไม่ได้ถูกเขี่ยออกไปอย่างไม่อาจทบทวน
“ยังมีอุปกรณ์ต้นแบบขนาดเล็กเหลืออยู่บนโต๊ะ
แต่ไม่ใช่แบบยานไวกิ้ง(Viking)หรือยานฟินิกส์(Phoenix)”
(ที่เคยร่อนลงสำรวจดาวอังคาร)
ดวงจันทร์ยูโรปาดูเหมือนจะมีมหาสมุทรซ่อนอยู่เบื้องใต้แผ่นน้ำแข็ง
ซึ่งอาจจะลึกเป็น 10 เท่าของมหาสมุทรบนโลก
และจุน้ำไว้มากกว่าสองเท่าของน้ำในมหาสมุทรโลกและแม่น้ำรวมกัน Credit: NASA
อุปกรณ์ขนาดเล็กนี้อาจเป็น
เครื่องวัดการสั่นของแผ่นดิน(seismometer)
เพื่อใช้วัดความถี่ในการเลื่อนตัวของแผ่นน้ำแข็งของยูโรปา
นอกจากนี้ยังมีที่ว่างพอสำหรับอุปกรณ์ mass spectrometer
เพื่อวัดชนิดของสารเคมีภายในน้ำแข็ง
ภารกิจนี้จะสามารถตอบคำถามว่ามีชีวิตบนยูโรปาหรือไม่ด้วยการวิเคราะห์เปลือกน้ำแข็ง
มหาสมุทรเบื้องใต้น้ำแข็งบางทีจะกระฉอกขึ้นมาตามรอยแยกของเปลือกน้ำแข็งแล้วล้างผิว
ลบรอยหลุมอุกกาบาต ดังนั้นหากมีสิ่งมีชีวิตภายในน้ำ
มันก็ควรจะหลงเหลือแบบแช่แข็งอยู่ภายในเปลือกน้ำแข็งและยานโคจรสำรวจก็จะพบพวกมัน
แผนภาพแสดงภายในของดวงจันทร์ยูโรปา
โดยมีแผ่นน้ำแข็งลอยอยู่บนมหาสมุทรของเหลว
ซึ่งคาดว่าจะเป็นแหล่งที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต Credit:NASA
ยานโคจรสำรวจมีเวลาอันแสนยากที่จะค้นหาหลักฐานของสิ่งมีชีวิตถ้าหากพวกมันมีอยู่ที่ก้นบึ้งมหาสมุทร
นักวิทยาศาสตร์คิดว่าต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตบนโลกเกิดบริเวณปากปล่องภูเขาไฟใต้สมุทร
พวกเขาคาดว่ายูโรปามีกิจกรรมทางภูเขาไฟอันเนื่องมาจากอิทธิพลทางแรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสบดีซึ่งบีบเค้นดวงจันทร์ดวงนี้ให้ยุบพอง
ขณะที่ยูโรปาโคจรไปรอบๆ ดาวพฤหัสบดี การบิดงอเชิงไทดัล(tidal flexing)
จะทำให้แกนกลางหลอมเหลวและทำให้เกิดกิจกรรมทางภูเขาไฟ
เช่นเดียวกับดวงจันทร์ไอโอ
เมื่อไอโอโคจรเข้าใกล้ดาวพฤหัสบดี
ผิวของไอโอบริเวณที่เป็นภูเขาไฟจะพ่นกำมะถันและสารประกอบเคมีอื่นๆออกสู่อวกาศ
สารประกอบชนิดเดียวกันนี้หลายชนิดถูกพบภายในปากปล่องน้ำพุร้อน
และอาจเกี่ยวพันรกับชีวิตยุคดึกดำบรรพ์ของโลก
รางรูปทรงโค้ง(ลูกศรสีดำและสีขาวชี้)บนผิวดวงจันทร์ยูโรปา
ยืดออกจนยาวหลายร้อยกิโลเมตร
เส้นสายประหลาดนี้ดูเหมือนจะเกิดจากการเปลี่ยนแกนหมุนจองดวงจันทร์ยูโรปา
(แถบเทียบมาตราส่วนสีดำด้านบนซ้าย เท่ากับระยะทาง 100 กิโลเมตร)Credit:
P. Schenk/NASA/LPI
แม้ว่าถ้า
EJSM ไม่อาจค้นหาหลักฐานทางตรงสำหรับชีวิตบนยูโรปา
มันอาจจะสามารถใช้ตัดสินว่าดวงจันทร์แบบนี้เป็นแหล่งชักนำให้เกิดสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไปได้หรือไม่
ถ้า EJSM
พบว่าสภาพแวดล้อมของยูโรปาเหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต
ดังนั้นการปรับปรุงในขั้นต่อไปคือการพัฒนาระบบที่จะลงจอด
หากไม่เป็นดังคาด Europa ก็เป็นเพียงดวงจันทร์มรณะ
นี่อาจจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายเกี่ยวกับความเป็นไปได้สำหรับชีวิตบนยูโรปา
“เช่นเดียวกับดาวอังคาร
สถานที่เรายังไม่พบหลักฐานของสิ่งมีชีวิต
ยังมีวิธีการอีกหลากหลายที่ชีวิตสามารถเหลือรอดที่นั่น” “ EJSM
จะช่วยเรากระชับขอบเขตของความเป็นไปได้
ดังนั้นเราจะรู้จุดที่เราจะมองลึกลงไปใกล้
มีหลายสิ่งที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับยูโรปา”
มีแผนอีกหลายแผนสำหรับภารกิจสู่ยูโรปาที่ถูกห่อเก็บไว้
ยานอวกาศที่มีแผนส่งไปโคจรรอบดวงจันทร์น้ำแข็งของดาวพฤหัสบดีถูกยกเลิกเมื่อปี
2548 เนื่องจากความซับซ้อนของแผนการ NASA วางแผนจะส่งยานอวกาศ Juno
ไปที่ดาวพฤหัสบดี แต่ยานลำนี้จะโคจรรอบดาวพฤหัสบดีเท่านั้น
ไม่ได้มีแผนที่จะไปศึกษาดวงจันทร์ดวงใด ESA ได้พัฒนา Jovian Europa
Orbiter แต่ภารกิจนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนแรกของแผนงานเท่านั้น
และวันเวลาส่งขึ้นสู่วงโคจรก็ยังไม่ถูกกำหนด
กลุ่มเมฆก๊าซที่ใจกลางกาแลกซี
December 1st,
2008
Adapted from : eso.org
: Astronomers detect matter torn apart by black hole
คณะนักดาราศาสตร์จากยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ใช้กล้องโทรทรรศน์ Very Large Telescope และกล้อง Atacama Pathfinder
Experiment (APEX) ที่ติดตั้งอยู่ในประเทศชิลี
ทำการสังเกตการณ์ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันเพื่อศึกษาการลุกจ้าอันรุนแรงของหลุมดำมวลยวดยิ่ง(super
massive black hole) ภายในใจกลางกาแลกซีทางช้างเผือก(Milky Way)
หรือ
Sagittarius A*(ซาจิทธาริอัส เอ สตาร์)
ที่ซึ่งสสารถูกฉีกดึงด้วยแรงโน้มถ่วงความเข้มสูงขณะโคจรใกล้หลุมดำใจกลางกาแลกซี
คณะนักดาราศาสตร์ทำการสังเกตการณ์ในช่วงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดอินฟราเรด-ใกล้(near-infrared)
หรือรังสีอินฟราเรดความยาวคลื่นสั้น (ใกล้แสงสีแดง)
ตลอดจนคลื่นความยาวระดับ
submillimetre
และด้วยตำบลที่ตั้งของกล้องโทรทรรศน์ทั้งสองซึ่งอยู่ในเขตซีกโลกใต้ทำให้เป็นจุดได้เปรียบที่สุดในการสังเกตการณ์ใจกลางกาแลกซีทางช้างเผือก
ภาพถ่ายบริเวณใจกลางกาแลกซีทางช้างเผือก
ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 26,000 ปีแสง
เมฆก๊าซขนาดใหญ่แสดงด้วยสีน้ำเงิน
Credit: ESO/APEX/2MASS/A. Eckart et al.
Sagittarius
A* อยู่ที่ใจกลางกาแลกซีทางช้างเผือกที่ระยะห่างจากโลก 26,000
ปีแสง
มันคือหลุมดำมวลยวดยิ่งที่มีมวลประมาณ 4
ล้านเท่าของมวลดวงอาทิตย์
ซึ่งกาแลกซีส่วนใหญ่ถูกคาดหมายว่าจะมีหลุมดำลักษณะนี้อยู่ที่ใจกลาง
ความพิเศษของ Sagittarius A*
คือมันเป็นหลุมดำมวลมหาศาลที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด
ทำให้การสังเกตการณ์ด้วยกล้องโทรทรรศน์
สามารถพบการประทุสว่างจ้าจากสสารที่โคจรอยู่ภายนอกเขตขอบฟ้าเหตุการณ์(event
horizon) ของหลุมดำ
Sagittarius A* (Sgr
A*) ในระนาบกาแลกซี (galactic plane) credit:NASA/JPL
เดิมการแผ่รังสีจาก Sagittarius A*
ถูกคาดว่ามาจากก๊าซที่ถูกฉีกออกมาจากดาวฤกษ์ขณะที่มันโคจรและตกลงไปในหลุมดำ
ในการสังเกตการณ์อย่างพร้อมเพรียงกันต้องการการวางแผนอย่างรัดกุมระหว่างคณะนักวิจัยทั้งสอง
เป็นเวลาหลายค่ำคืนของการรอคอยที่หอสังเกตการณ์
แล้วพวกเขาก็สะดุดโชค ที่
VLT คณะนักวิทยาศาสตร์ก็พบการสว่างวาบในย่านรังสีอินฟราเรด
อย่างฉับพลันพวกเขาก็ต่อสายไปยังคณะทำงานที่ APEX
เพื่อเก็บข้อมูลอย่างทันท่วงที
ภาพชุดแสดงกลุ่มก๊าซสว่างที่ถูกหลุมดำดึงดูดให้โคจรและยืดออก
พร้อมกับแผ่รังสีในย่านรังสีอินฟราเรด Credit: ESO/L.
Calçada
เป็ฯเวลาหกชั่วโมงที่คณะทำงานตรวจพบการแปรผันความสว่างในย่านรังสีอินฟราเรดอย่างรุนแรง
ด้วยการสว่างวาบครั้งใหญ่จำนวน 4 ครั้ง
นอกจากนี้ในย่าน submillimetre
wavelength
ก็พบการสว่างวาบเกิดขึ้นหลังจากการสว่างวาบในย่านอินฟราเรดเป็นเวลาประมาณ
1 ถึง 1.5 ชั่วโมง
คณะนักวิจัยอธิบายการคลาดของเวลาระหว่างการประทุในสองความยาวคลื่นว่าอาจเกิดจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเมฆก๊าซที่แผ่แสงสว่างวาบด้วย
อัตราเร็วประมาณ 5 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง
การขยายตัวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในลักษณะของการแผ่รังสีตามเวลา
และทำให้เกิดการคลาดของการประทุในย่านรังสีอินฟราเรดกับ submillimeter
แม้ว่าอัตราเร็ว
5 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมงจะดูเหมือนเร็ว
แต่ก็เป็นอัตราเร็วเพียง 0.005
เท่าของอัตราเร็วแสงในสุญญากาศ
เพื่อที่จะหนีจากแรงโน้มถ่วงอันรุนแรงที่บริเวณใกล้หลุมดำ
ก๊าซจะต้องหนีออกมาด้วยอัตราเร็ว 0.5 เท่าของอัตราเร็วแสง หรือ 100
เท่าของอัตราเร็วที่ตรวจพบ
ดังนั้นนักดาราศาสตร์จึงคาดว่ากลุ่มก๊าซนั้นโคจรไปรอบๆ หลุมดำ
แล้วถูกดึงออกจนมีรูปร่างร่างเหมือนชามรีๆ
และนี่คือสาเหตุของการขยายตัวของกลุ่มก๊าซ
แปลและเรียบเรียงโดย วัชราวุฒิ
กฤตินธรรม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล